วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วิธิแก้ขอบตาดำ

วิธีแก้ขอบตาดำ
วิธีที่ 1 สับมันฝรั่งห่อด้วยผ้าขาวบางนำมาวางบนเปลือกตาทุกเช้าจะช่วยลดลอยคล้ำได้
วิธีที่ 2 สำหรับคนที่นอนดึก ตาคงเป็นหมีแพนด้า อิอิเรามีวิธี่ช่วยคุนได้เพียงคุนน้ำเกลือ ที่ใช้ประจำเวลาทำกับข้าว
นำมาละนำสำลีมาจุ่มบิดพอหมาดๆๆมาแปะที่ตาแปงประจำเท่านี้ละค่ะรอบดำคล้ำใต้ตาจะค่อยจางลงจาวลง
วิธีที่ 3 ขั้นตอนที่1. นำผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น นำมาวางไว้บนหน้า ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเย็นจัด2. หลับตาลงแล้วใช้นิ้วกลางกดหางคิ้วทั้งสองข้าง3. ใช้นิ้วโป้ง กดเบ้าตาช่วงหัวตาค้างไว้สัก 5 วินาที ค่อย ๆ ปล่อยแล้วกดลงไปใหม่ทำซ้ำประมาณ 5 - 10 ครั้ง 4. ใช้นิ้วกลางกดสันจมูก ช่วงหัวตาค้างไว้ 5 วินาที แล้วค่อย ๆ ปล่อยทำซ้ำ 5 - 10ครั้งเช่นเดิม
วิธีที่ 4 วิธีทำคือ นำเกลือ 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำร้อนครึ่งถ้วย ใช้ผ้านุ่ม ๆ หรือสำลีชุบในน้ำเกลือ บีบน้ำออกเล็กน้อย (แบบไม่ชุบให้ชุ่มจนเกินไป) จากนั้นนำมาปิดตาทิ้งไว้ประมาณ 10 15 นาที รอยช้ำรอบ ๆ ดวงตา ก็จะค่อย ๆ จางลงอย่างเห็นได้ชัด
อ้างอิง http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1271721

ฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจร สมุนไพรไทย รักษาไข้หวัด 2009
          ฟ้าทะลายโจร เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับเป็นสมุนไพรไทยมานาน ปัจจุบันมีการนำฟ้าทะลายโจรมาทำเป็นยาลูกกลอน หรือ ใส่แคปซูลเพื่อความสะดวกในการกิน มีผู้ทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยถึงสรรพคุณยา และได้พบสารเคมีในส่วนต่าง ๆ ของพืชอยู่หลายชนิด รวมทั้งสาร Andrographolide ที่เป็นตัวยาสำคัญที่มีอยู่ในทุกส่วนคือ ราก ต้น ใบ และได้ทำการศึกษาทดลองเพื่อจำแนกโรคที่รักษาได้ดีให้ชัดเจน ซึ่งพบว่าฟ้าทะลายโจรรักษาโรคได้หลายโรค อาทิ แก้ติดเชื้อทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย บิด และแก้กระเพาะอักเสบ ลำไส้อักเสบ แก้อาการไอ เจ็บคอ หรือคออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ แก้ไข้ทั่วไป เป็นยาขมเจริญอาหาร เป็นต้น
ฟ้าทะลายโจร ได้รับการรับรองจากองค์ การอนามัยโลก (WHO) ว่าเป็นสมุนไพรที่ช่วย บรรเทาอาการหวัด(หวัด2009) และเสริมภูมิต้านทานดีกว่าการใช้ ยาปฏิชีวนะในคนที่เป็นหวัดบ่อย ๆ ร้อนในบ่อย ๆ เนื่องจากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ภูมิต้านทาน อ่อนลง การรับประทานสมุนไพรฟ้าทะลายโจรจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้ไม่เป็นหวัดง่าย ร้อน ในจะหายไป และสมุนไพรฟ้าทะลายโจรดีกว่ายาปฏิชีวนะ ตรงที่ไม่เกิดการง่วงนอน ไม่เกิดการดื้อยา และยังป้องกันตับจากสารพิษหลายชนิด เช่น จากยา แก้ไข้พาราเซตามอล หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นส่วนผสม
การรักษาโรคหวัด (ไข้หวัด2009)
1. รักษาอาการไข้เจ็บคอ (Pharyngotonsillitis)
ผู้ป่วยที่ได้รับยาฟ้าทะลายโจรขนาด 6 กรัม/วัน หรือพาราเซทตามอล 3 กรัม / วัน หายจากไข้ และอาการเจ็บคอได้มากกว่ากลุ่มที่ได้ฟ้าทะลายโจรขนาด 3 กรัม / วัน อย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 3 หลังรักษา แต่ผลการรักษาไม่มีความแตกต่างกันในวันที่ 7
2. การศึกษาประสิทธิผลในการบรรเทาอาการหวัด (Common cold) ผลการทดลองให้ยาเม็ดสารสกัดฟ้าทะลายโจรที่ควบคุมให้มีปริมาณของแอนโดกราโฟไลด์ และดีออกซีแอนโดรกราไฟไลด์รวมกันไม่น้อยกว่า 5 มิลลิกรัม /เม็ด ครั้งละ 4 เม็ด วันละ 3 เวลา ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด พบว่า วันที่ 2 หลังได้รับยา ความรุนแรงของอาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ในกลุ่มที่ได้รับยาฟ้าทะลายโจรน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญและในวันที่ 4 หลังได้รับยา ความรุนแรงของทุกอาการได้แก่ อาการไอ เสมหะ น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดหู นอนไม่หลับ เจ็บคอ ในกลุ่มที่ได้รับยาฟ้าทะลายโจร น้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ
อ้างอิง http://health.kapook.com/view1018.html

แมวไทย

แมวไทย
แมวไทย คือแมวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย คุณสมบัติที่ทำให้แมวไทยเหนือกว่าแมวชนิดอื่น คือ อุปนิสัย แมวไทยมีความฉลาด มีความเป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิด รู้จักประจบ รักบ้าน รักเจ้าของ และเหนืออื่นใด คือ รักความอิสระของตัวเองเป็นชีวิตจิตใจ อิสระที่ จะกิน จะดื่ม หรือจะไปไหนตามที่ใจชอบ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลิกประจำตัวที่ทำให้แตกต่างจากแมวพันธุ์อื่น สีสันตามตัวของแมวไทย เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักรักแมวรู้สึกสุขใจยามได้มอง ไม่ว่าจะเป็น วิเชียรมาศ เก้าแต้ม ขาวมณีหรือขาวปลอด นิลรัตน์หรือดำปลอด ศุภลักษณ์หรือ ทองแดง สีสวาดหรือแมวไทยพันธุ์โคราช ต่างล้วนได้รับความสนใจ จากเจ้าของและผู้สนใจทั้งสิ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานแมววิเชียรมาศคู่หนึ่งให้แก่ กงสุลอังกฤษชื่อนาย โอเวน กูลด์ (Owen Gould) แมวไทยคู่นี้ชนะการประกวดแมวที่ กรุงลอนดอน และทำให้ชาวอังกฤษนิยมเลี้ยงแมวไทยมากขึ้น ในที่สุดก็แพร่หลายไปทั่วโลก และแมววิเชียรมาศก็เป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า "Siamese Cat" หรือแมวสยาม นับแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นมา จวบจนถึง สมัยรัชกาลที่ 5 ลาวได้อพยพสู่สยามโดยการกวาดต้อนครัวเรือนชาวลาวไปสยามจำนวนมาก พวกสัตว์ประเภทต่างๆก็คงได้อพยพไปด้วย แมวไทยอาจมีสายเลือดแมวลาวปนอยู่ด้วยอย่างมาก


หมาไทย

ประวัติสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว
ประวัติความเป็นมาของสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว จากข้อมูลที่ได้สอบถามจากประชาชนตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านบางแก้ว ตำบลท่านางงาม และบ้านชุมแสงสงคราม ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก พอจะสรุปได้ว่า แหล่งกำเนิดของสุนัขไทยพันธุ์บางแก้วนั้นอยู่ที่วัดบางแก้ว ตำบลท่านางงาม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม สภาพภูมิประเทศทั่ว ๆ ไปนั้นยังคงเป็นป่าพง ป่าระกำ ป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ชุกชุม เช่นช้างป่าเป็นโขลง ๆ หมูป่า ไก่ป่า สุนัขจิ้งจอก และหมาใน
หลวงพ่อมาก เมธาวี เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ของวัดบางแก้ว ที่วัดของท่านเลี้ยงสุนัขไว้ไม่ต่ำกว่า 20-30 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุนัขที่ดุขึ้นชื่อลือชา และชาวบ้านทราบกันดีว่า ใครที่เข้ามาในวัดแต่ละครั้งจะต้องตะโกนให้เสียงแต่ไกล ๆ เพื่อให้พระอาจารย์มาก เมธาวี ท่านช่วยดูหมาเอาไว้ก่อน มิฉะนั้นจะถูกมันไล่กัด ด้วยกิตติศัพท์ในความดุของสุนัขที่วัดบางแก้วนี้เอง จึงมีผู้คนนิยมมาขอลูกสุนัขไปเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน เฝ้าเรือ เฝ้าแพ เฝ้าวัว เฝ้าควาย พื้นที่ที่สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วได้ขยายพันธุ์ไปมากที่สุดก็คือ ตำบลท่านางงามและตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก แต่ในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไปหลายจังหวัด[ต้องการอ้างอิง]
เหตุผลที่สันนิษฐานว่า สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วเป็นสุนัขลูกผสมสามสายเลือด เพราะพื้นที่ในเขตตำบลท่านางงาม ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ ในอดีตนั้นเป็นป่าดงพงพีที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด รวมทั้งสุนัขจิ้งจอกและหมาในอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โอกาสที่สุนัขจิ้งจอกและหมาในตัวผู้จะมาแอบลักลอบเข้ามาผสมพันธุ์กับสุนัขไทยตัวเมียที่เลี้ยงไว้ในวัดบางแก้วนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว เพราะสุนัขป่าทั้งหลายนี้เป็นสุนัขที่กล้าหาญชาญชัย ว่องไว ใจปราดเปรียว แข็งแรง ซึ่งเรื่องนี้ อาจารย์ท่านหนึ่งของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์[ต้องการอ้างอิง] ได้ตรวจโครโมโซมของสุนัขไทยพันธุ์บางแก้วแล้วพบว่ามีโครโมโซมของสุนัขจิ้งจอกปะปนในโครโมโซมของสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว ซึ่งเป็นการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่าสุนัขไทยพันธุ์บางแก้วสืบเชื้อสายจากสุนัขลูกผสมระหว่างสุนัขบ้านกับสุนัขจิ้งจอก สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วจึงมีลักษณะดีเด่นปรากฏโฉมออกมาคือ มีขนยาว ขนมีลักษณะเป็นขนสองชั้นคล้าย หางเป็นพวงสวยงาม มีขนแผงคอคล้ายแผงคอสิงโต ดุ เฉลียวฉลาด มีไอคิวสูง ไม่แพ้สุนัขพันธุ์ต่างประเทศ มีความสวยงาม

การละเล่นไทย

คุณค่าของการละเล่นไทย
การเล่นกับเด็กเป็นของคู่กันมาตั้งแต่กาลครั้งไหน คงไม่มีใครทราบได้ แต่การเล่นก็เป็นเรื่องที่สืบ เนื่องแสดงถึงเอกลักษณ์ของชนชาติหรือท้องถิ่นเป็นเรื่องที่ถ่ายทอดเข้าสู่กระแสชีวิตและตกทอดกันมาตั้งแต่ รุ่นปู่ย่าตายายของปู่ย่าตายายโน่น เอาตั้งแต่เมื่อเราเกิดมาลืมตาดูโลกก็คงจะได้เห็นปลาตะเพียนที่ผู้ใหญ่แขวน ไว้เหนือเปลให้เด็กดู เล่นเป็นการบริหารลูกตา แหวกว่ายอยู่ในอากาศแล้ว พอโตขึ้นมาสัก 3-4 เดือน ผู้ใหญ่ก็จะสอนให้เล่น จับปูดำ ขยำปูนา” “แกว่งแขนอ่อน เดินไว ๆ ลูกร้องไห้ วิ่งไปวิ่งมาโดยที่จะคิดถึงจุดประสงค์อื่นใดหรือไม่สุดรู้ แต่ผลที่ตามมานั้นเป็นการหัดให้เด็กใช้กล้ามเนื้อมือ กล้ามเนื้อแขนประสานกับสายตา
การละเล่นเป็นการส่งเสริมให้เด็ก ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และเป็นกิจกรรมที่แฝงไว้ ด้วยสัญลักษณ์ หากศึกษาการเล่นของเด็กในสังคม เท่ากับได้ศึกษาวัฒนธรรมของสังคมนั้นด้วย การละเล่นของเด็กไทย มีความหลากหลาย เช่น หมากเก็บ ว่าว โพงพาง รีรีข้าวสาร เป็นต้น
อ้างอิง http://www.tungsong.com/thaiplay/ThaiGames.asp

ตะไคร้หอม

สมุนไพรกันยุง ตะไคร้หอม
มาทำความรู้จักตะไคร้หอม หนึ่งในน้ำมันหอมระเหย ซึ่งใช ้กันยุง โดยเป็นอีกกลิ่นหนึ่ง
ที่ได้รับความนิยม และสามารถใช้ได้ดีกับ โคมไฟ อโรมา
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon nardus Rendle
วงศ์ POACEAE (GRAMINEAE)
ชื่อท้องถิ่น ตะไคร้แดง จะไคมะขูด ตะไครมะขูด
ลักษณะพืช พืชล้มลุก อายุหลายปี มีเหง้า ลำต้นตั้งตรง สูง 2 เมตร ออกเป็นกอ ใบเกลี้ยง รูปยาวแคบ
กว้าง 5-20 มม. ยาวได้ถึง 1 เมตร มีกลิ่นหอม ตรงรอยต่อระหว่างใบกับกาบ มีแผ่นรูปไข่ปลายตัดยื่นออกมา
ยาวประมาณ 2 มม. มีขนกาบหุ้มติดทน กาบล่างสุดเกยซ้อนกัน เมื่อแห้งจะม้วนขึ้น ดอกออกเป็นช่อขนาดใหญ่ยาวได้ถึง 80 ซม. มีใบประดับ ลักษณะคล้ายกาบ ยาวประมาณ 25 มม. รองรับอยู่ ช่อดอกแยกเป็นหลายแขนง แต่ละแขนงมีช่อย่อย 4-5 ช่อ ผลแห้งไม่แตก ตะไคร้หอมมีลักษณะส่วนใหญ่คล้ายกับตะไคร้กอ ต่างกันที่กลิ่น ต้นและใบยาวกว่าตะไคร้กอมาก
แผ่นใบกว้างยาวและนิ่มกว่าเล็กน้อย
สรรพคุณ
ยาไทย ต้นแก้ริดสีดวงในปาก (คือปากแตกระแหง เป็นแผลในปาก) สตรีมีครรภ์รับประทาน ทำให้แท้ง บีบรัดมดลูก ขับลมในลำใส้ แก้แน่น ตะไคร้หอมได้ถูกนำมาใช้ไล่แมลง อย่างแพร่หลายนานมาแล้ว โดยละลายน้ำมันตะไคร้หอม 7 ส่วน ผสมในแอลกอฮอล์(70%) 93 ส่วน ฉีดพ่นหรือตำใบสดหมักในแอลกอฮอล์ใน อัตราส่วน 1:1 ทาตรงขอบประตูที่ปิดเปิดเสมอ หรือชุบสำลีแขวนเอาไว้หน้าประตูเข้าออก หรือใช้ใบตะไคร้หอมมัดแล้วทุบให้ช้ำวางใว้ตามมุมห้องหรือใต้เตียง ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ใบและกาบใบมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมี Geraniol และ Citronellal เป็นส่วนประกอบสำคัญ มีฤทธิ์ในการไล่แมลง โดยเฉพาะ กันยุง จากการวิจัยพบว่า ทั้งต้นใช้กันยุงได้ ปัจจุบันจึงมีผู้สะกัด เอาสมุนไพรชนิดนี้มาทำเป็น โลชั่นกันยุง บ้าง น้ำมันหอมระเหย กลิ่นตะไคร้ ไล่ยุง ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากตะไคร้หอมที่นำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยมี 2 ชนิดคือ Lenabuta เป็นพันธุ์ที่ได้มาจากประเทศลังกา และอีกชนิดคือ Mahapengiri เป็นพันธุ์ที่ได้จากประเทศอินโดนีเซีย บริเวณเกาะชวา ปัจจุบันมีการปลูกแพร่หลายเข้าไปในหลายประเทศ เช่น ประเทศจีน ประเทศในอเมริกาใต้
เป็นต้น ตะไคร้หอมที่ได้จากชวาจะมีสาร geraniol, citronellal มี aldehydeและ total alcohol ไม่น้อยว่า 35 % เมื่อวิเคราะห์ด้วยวิธี acetylation เป็นผลให้น้ำมันที่ได้จากตะไคร้หอมชนิดชวามีคุณภาพดีกว่าชนิดลังกา ในประเทศไทยมีการนำเข้ามาปลูกนานแล้วผู้ที่นำเข้ามาคือคุณหลวงมิตรธรรมพิทักษ์โดยนำเข้ามาจาก อินเดียและนำไปปลูกที่อ.สัตหีบ จ.ชลบุรีเป็นที่แรก ปัจจุบันมีการนำไปปลูกทั่วประเทศ
http://www.lightandscent.com/lemongrass.htm
เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติ (ลงโทษ) - -"
ใครๆ ก็บอกว่าเรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติ (ธรรมชาติลงโทษหรือเปล่าไม่รู้) แต่ความคิดของทิชชี่ การมีสิว แปลว่าเรายังสาว เพราะฉะนั้นปล่อยให้มันมี ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเถอะค่ะ
เชื่อได้ว่า 90% ของการเกิดมาเป็นคน ทุกคนล้วนต้องผ่านการมีเม็ดสิวขึ้นมาเจียดบนใบหน้ากันทั้งนั้น จะขึ้นมากขึ้นน้อยก็แล้วแต่ความโส ความใสของแต่ละคน ทิชชี่เป็นอีกหนึ่ง ที่มีเม็ดสิวมาเยือนอยู่บนใบหน้าที่งดงามนี้
ทิชชี่มีประสบการณ์อันเลวร้ายเกี่ยวกับเม็ดสิวมาเล่าให้ฟัง เคยไหมค่ะ ที่คุณดูโฆษณา บีบสิวอยู่ที่หน้ากระจก และเม็ดสิวกระเด็น เลือกสาดกระจายเต็มหน้ากระจก ครั้งแรกที่ทิชชี่ดูโฆษณานี้ ทิชชี่คิดอยู่ในใจว่าเวอร์มากๆๆๆๆ แต่เมื่อทิชชี่เริ่มมีสิว และมีการกำจัดมันออกจากใบหน้าด้วยวิธีการบีบ มันเหมือนโฆษณานั้นมากๆ ค่ะ หนองแตกกระจายติดเต็มหน้ากระจก สยิวกิ้วมากเลยอ่ะ T_T
เอาเป็นว่า ถ้าหลีกเลี่ยงได้ อย่าบีบมันเลยดีกว่าค่ะ ปล่อยให้มันแตก แห้งไปตามธรรมชาติดีที่สุด เพราะเมื่อบีบ ปัญหาที่ตามมาติดๆ คือ รอยดำ รอยแดงขึ้นเต็มใบหน้า ซ้ำถ้าทิ้งไว้ไม่รีบรักษารอย อาจเป็นแผลเป็นติดตัวไปตลอดชีวิต ไม่มีหนังหน้าสวยๆ ไว้เดินเฉิดฉายแล้วจะหาว่าทิชชี่ไม่เตือนไม่ได้นะค่ะ
หลายๆ คนอยากหน้าสวยใส จึงหันพึ่งสถานเสริมความงามต่างๆ ซึ่งข้อดีก็มีอยู่ แต่ข้อเสียที่เห็นได้ชัดคือเงินในกระเป๋าของคุณๆ ลดฮวบฮาบนั่นแหละค่ะ ทางออกที่ดีที่สุดในการรักษาหนังหน้าให้สวยใสอยู่คู่คุณไปตลอด คือการบำรุงหน้าค่ะ ซึ่งทำได้ง่ายๆ โดยหยิบของใกล้ตัวในตู้เย็น อย่างโยเกิร์ต มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดค่ะ
นอกจากโยเกิร์ตจะมีประโยชน์สำหรับสุขภาพร่างกายแล้ว รู้ไหมว่าโยเกิร์ตยังมีประโยชน์สำหรับสุขภาพผิวหน้าของเราอีกด้วย ในโยเกิร์ตมีของดีอยู่เยอะ ไหนจะแลคโตบาซิลลัสที่ช่วยขจัดแบคทีเรีย มี AHA จาก Lactic Acid ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวด้วย
การพอกหน้าด้วยโยเกิร์ตจะช่วยชำระล้างเอาสิ่งสกปรก มลพิษออกจากรูขุมขนของผิวเรา ลดความมัน กระชับรูขุมขน และี่ในระหว่างที่เราพอกหน้า สารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์จะซึมซับลงสู่ผิวหน้าของเรา เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหน้าสดชื่น นุ่มนวล อ่อนเยาว์ หน้าใสเป็นธรรมชาติ ยิ่งใครมีปัญหาสิวตุ่มเล็กๆ หรือสิวผด ก็ช่วยได้มาก ทำสัปดาห์ละครั้ง หรือถ้าไม่ขี้เกียจ ทำทุกวันได้ก็จะยิ่งดีนะค่ะ
วิธีการพอกหน้าด้วยโยเกิร์ต
- เตรียมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ แช่ในตู้เย็นให้เย็นฉ่ำ
- เตรียมใบหน้าของคุณให้พร้อมด้วยเช่นกัน ก่อนพอกหน้า ล้างหน้า  ลบเครื่องสำอางให้สะอาด
- นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่แช่เย็นเตรียมไว้ นำออกมาพอกให้ทั่วใบหน้า จะใช้โยเกิร์ตเปล่าๆ พอกเลยก็ได้ หรือจะนำโยเกิร์ต ผสมมะนาว+น้ำผึ้ง พอกหน้าก็ได้ พอกทั่วหน้าเว้นบริเวณรอบดวงตา
- นอนหลับตา ผ่อนคลายตามสบาย ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที ให้ส่วนผสมแห้ง ระหว่างรอให้แห้ง อย่ายิ้มหรือหัวเราะเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะได้ริ้วรอยลึกมาเป็นของแถมด้วยไม่รู้นะ
- ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ตบท้ายด้วยน้ำเย็นกระชับรูขุมขนกันอีกครั้ง เมื่อล้างออกแล้ว จะรู้สึกได้ถึงความเนียนนุ่มของผิวหน้า (อันนี้พูดจริงๆ ไม่ได้โม้ ทิชชี่คอมเฟิร์ม!!)
- บำรุงผิวตามปกติ

สาเหตุจากโรคอ้วน


สาเหตุจากโรคอ้วน
คนเรารับประทานอาหารเข้าไปไม่ว่าจะเป็นประเภทแป้ง หรือโปรตีนหากพลังงานที่ได้รับเกินความต้องการ
ร่างกายก็จะสะสมอาหารส่วนเกินเหล่านั้นในรูปไขมัน สะสมมากขึ้นจนกลายเป็นโรคอ้วน ดังนั้นคนที่อ้วนเกิดจากเรารับอาหารที่มีพลังงานมากกว่าพลังงานที่เราใช้ไป สาเหตุจริงๆยังไม่ทราบแน่ชัด โรคอ้วนมักจะมีสาเหตุต่างๆดังนี้
               การรับประทานอาหาร หากรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงเป็นประจำ จะให้น้ำหนักเกินโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมัน และแป้งสูงซึ่งมักจะพบในอาหารจานด่วน
               ประเภทของอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นกลูโคส sugars, fructose,น้ำหวาน เครื่องดื่ม ไวน์ เบียร์ อาหารเหล่านี้จะดูดซึมอย่างรวดเร็ว และทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินเป็นปริมาณมาก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นสาเหตุของโรคอ้วน
               ภาวะที่ร่างกายเผาพลาญพลังงานน้อย ผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อมากว่าผู้หญิง กล้ามเนื้อจะเผาพลังงานได้มากดังนั้นผู้หญิงจึงอ้วนง่ายกว่าผู้ชายและลดน้ำหนักยาก
               โรคต่อมไร้ท่อ เช่นต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อยจะมีน้ำหนักเกินเนื่องจากร่างกายเผาผลาญอาหารน้อยลง โรค cushing ร่างกายสร้างฮอร์โมน cortisol มากทำให้ร่างกายมีการสะสมไขมัน ฮอร์โมนนี้อาจจะมาจากร่างกายสร้างเอง หรือจากลูกกลอน ยาแก้หอบ ยาชุด หรือร่างกายสร้างขึ้นเนื่องจากเนื้องอกต่อมหมวกไต
               จากยา ยาบางชนิดทำให้ความอยากอาหารเพิ่ม เช่นยาคุมกำเนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า tricyclic antidepressant,phenothiazine ยาลดความดัน beta-block ยารักษาเบาหวาน ยาคุมกำเนิด ยา steroid
               กรรมพันธุ์ จะพบว่าบางครอบครัวจะอ้วนทั้งหมดซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรม เช่นคนที่เป็นโรคขาด leptin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ส่งไปยังสมองทำให้เรารับอาหารน้อยลง แต่อีกส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากวัฒนธรรมการรับประทานอาหารและความเป็นอยู่
               วัฒนธรรมการดำรงชีวิตและอาหารซึ่งเห็นได้ว่าบางชาติจะมีน้ำหนักเกินเนื่องจากอาหารของชาตินั้นนิยมอาหารมันๆ
               ความผิดปกติทางจิตใจทำให้รับประทานอาหารมาก เช่นบางคนเศร้า เครียด แล้วรับประทานอาหารเก่ง
               การดำเนินชีวิตอย่างสบาย มีเครื่องอำนวยความสะดวดมากมาย และขาดการออกกำลังกาย มีรถยนต์ มีเครื่องทุ่นแรง มีทีวีรายการดีๆให้ดู มีสื่อโฆษณาถึงน้ำหวาน น้ำอัดลม เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงโรคอ้วนตั้งแต่ในวัยเด็ก
               การดื่มสุรา
               การสูบบุหรี่
               โรคอ้วนในวัยรุ่น ชีวิตที่มีความสบาย ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดประเภท และไม่จำกัดปริมาณเหล่านี้ทำให้เกิดโรคอ้วน เมื่ออ้วนก็ทำให้ออกกำลังได้ไม่เต็มที่ พบว่าวัยรุ่นหรือเด็กที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดโรคอ้วนเมื่อเป็นผู้ใหญ่ น้ำหนักของผู้ชายจะเพิ่มจนคงที่เมื่ออายุประมาณ 50 ปี ส่วนผู้หญิงน้ำหนักจะเพิ่มจนอายุประมาณ 70 ปี
               โรคอ้วนในเด็ก เซลล์ไขมันในร่างกายจะมีช่วงที่เจริญเติบโตอยู่สองช่วงคือวัยเด็กและวัยรุ่น กรรมพันธุ์เป็นตัวกำหนอให้แต่ละคนมีเซลล์ไขมันไม่เท่ากัน คนอ้วนจะมีเซลล์ไขมันมาก การอ้วนในเด็กจะมีปริมาณเซลล์ไขมันมากทำให้ลดน้ำหนักยาก สานโรคอ้วนในผู้ใหญ่เกิดจากเซลล์ไขมันมีขนาดใหญ่
               การคำนวนโรคอ้วนในเด็ก
อ้างอิง http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/endocrine/obesity/cause.htm

โทษของขนม

โทษของขนม
นักวิจัยเผยพบขนมกรุบกรอบกว่า 700 ชนิดสารพัดยี่ห้อที่วางขายล่อใจ เจอแต่ส่วนผสมประเภทหวานจัด มันเยิ้ม เค็มปี๋ เสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ระบุ "ขนมปังประเภทเม็กซิกันบัน" เปิบแค่ชิ้นเดียวให้พลังงานเกินกว่าความต้องการของร่างกาย พบเด็กไทยกำลังมีปัญหาไขมัน น้ำตาลผิดปกติ เป็นผลจากความอ้วน

รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล หัวหน้าฝ่ายมนุษยโภชนา สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงผลการนำขนมและอาหารว่างประมาณ 700 ตัวอย่าง ที่จำหน่ายในท้องตลาด มาวิเคราะห์จากฉลากโภชนาการและส่วนประกอบเพื่อให้ทราบคุณค่าทางโภชนาการ ภายใต้การแถลงข่าวเรื่อง "ภัยขนมกรุบกรอบทำร้ายสุขภาพเด็กไทย" จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน

พบว่ามีเพียง 10% ของขนมทั้งหมดที่ผ่านเกณฑ์โภชนาการ แต่ก็ไม่ได้ผ่านทั้งหมด เพราะใน 10% นั้นบางอย่างก็เค็มเกินไป หวานเกินไป โดยสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม คือ

กลุ่มลูกอม หมากฝรั่ง เยลลี่ พบมีน้ำตาลและสารให้ความหวานอื่น ๆ เป็นส่วนผสมจำนวนมาก กลุ่มช็อกโกแลต มีไขมันกับน้ำตาลในปริมาณสูง
กลุ่มถั่วและเมล็ดพืช มีไขมันและโซเดียมมาก
กลุ่มปลาเส้นปรุงรสต่าง ๆ ปลาอบกรอบ แม้จะมีโปรตีน แต่มีโซเดียมสูง ยิ่งปรุงรสเข้มข้นก็ยิ่งมีโซเดียมมากขึ้น

กลุ่มมันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบ ข้าวอบกรอบ ข้าวโพดอบกรอบ แป้งทอด จะเต็มไปด้วยโซเดียมและไขมัน "นอกจากขนมกรุบกรอบยังมีขนมปังประเภทเม็กซิกันบันซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ จากการเก็บตัวอย่างพบว่าปริมาณคุณค่าทางโภชนาการโดยเฉพาะในส่วนของไขมันมีปริมาณสูงมากพบว่าปริมาณสารอาหารที่ได้รับต่อขนมปัง 1 ก้อน ให้พลังงานสูง 600 กิโลแคลอรี เมื่อเทียบปริมาณที่ควรได้รับอยู่ที่ 200 กิโลแคลอรีต่อวัน ปริมาณไขมันอยู่ที่ 32.5 กรัม คิดเป็น 50% ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน (RDI) ไขมันอิ่มตัวอยู่ที่ 13.88 กรัม คิดเป็น 69% ของปริมาณที่ต้องบริโภค ต่อวัน คอเลสเตอรอลอยู่ที่ 117 มิลลิกรัม คิดเป็น 39% ของปริมาณที่ต้องบริโภคต่อวัน ส่วนน้ำตาลอยู่ที่ 27.7 กรัม ซึ่งปริมาณที่ต้องการไม่ควรเกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวัน หากทานเพียง 1 ก้อน ต้องวิ่งเร็วประมาณชั่วโมงครึ่ง หรือว่ายน้ำประมาณ 2 ชั่วโมง จึงสามารถเผาผลาญได้หมด" หัวหน้าฝ่ายมนุษยโภชนากล่าว

รศ.ดร.ประไพศรี กล่าวต่อว่า ขนมกรุบ กรอบกว่า 90% มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยมาก และเต็มไปด้วยสารอาหารที่เกินพอดี ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะเน้นความมันกับรสเค็ม จึงมีส่วนผสมที่ทำให้เกิดรสเค็ม อย่าง เกลือ ผงชูรส ซีอิ๊ว น้ำปลา ในปริมาณสูงมาก ทั้ง ๆ ที่เด็กไม่ควรได้รับโซเดียมจากขนม อาหารว่างไม่เกิน 200 มิลลิกรัม น้ำมันไม่เกิน 5 กรัม ต่อวัน แต่การศึกษาพบเด็กได้รับโซเดียมจากขนมมากกว่าเกณฑ์ 3-4 เท่า ส่วนผสมที่เป็นความอร่อยเหล่านี้เมื่อทานต่อเนื่องจะทำให้ไตทำงานหนัก เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง และส่วนประกอบหลักของขนมกรุบกรอบประเภท แป้ง ทำให้เด็กได้รับคาร์โบไฮเดรตสูง กลายเป็นเด็กอ้วน ฟันผุ อนาคตเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ

ด้าน รศ.นพ.จิตติวัฒน์ สุประสงค์สิน หัวหน้าหน่วยสำนักงานวิจัย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี และนักวิชาการจากเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า ประเทศไทยมีประชากรวัยเด็กประมาณ 10 ล้านคน มีเด็กอ้วนประมาณ 20% หรือประมาณ 2 ล้านคน ซึ่งครึ่งหนึ่งของเด็กอ้วนมีความเสี่ยงเรื่องความดันโลหิตสูง ทุกวันนี้เด็กไทยจำนวนหนึ่งกำลังมีปัญหา "เมตาบอลิคซินโดรม" คือมีเมตาบอลิซึมผิดปกติ มีความดันโลหิตสูง ไขมันผิดปกติ น้ำตาลผิดปกติ สัมพันธ์กับภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน เป็นผลจากความอ้วน มีความเสี่ยงเป็นเบาหวานได้ง่าย

ดังนั้นผู้ปกครองต้องช่วยสร้างวัฒนธรรมการกินของเด็ก เน้นให้กินพืชผัก ผลไม้ อาหารปรุงเอง โรงเรียนควรมีแนวคิดเรื่องสุขภาพ สร้างสภาพแวดล้อมที่ปราศจาก ขนม ของหวาน น้ำ
อ้างอิง Credit www.sanook.com

ช็อกโกแลต

ช็อกโกแลต
ใครที่ชอบกินช็อกโกแลตบ้าง วันนี้เกร็ดความรู้มีประโยชน์และโทษของช็อกโกแลตมาฝากกัน...
ในอดีตนักเคมีเคยพบว่าช็อกโกแลตมี เฟนิลไธลามิน, ธีโอโบรไมน์ และกาเฟอีน
ซึ่งสารเหล่านี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ในช็อกโกแลตยังให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินเอ ดี เค และธาตุเหล็กค่อนข้างสูง หากกินมากเกินไป อาจส่งปัญหาด้านสุขภาพทำให้เป็นโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
แต่เมื่อไม่นานมานี้มีการค้นพบสารฟลาโวนอยด์ในช็อกโกแลต
หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมจะมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจหรือแม้กระทั่งมะเร็งบางชนิด และยังพบว่ายังมีสรรพคุณช่วยให้คลายเครียด เนื่องจากมีสารไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเคมีแห่งความสุขที่ชื่อเอ็นโดรฟินออกมา ช่วยทำให้รู้สึกอารมณ์ดี
ดังนั้น ชาวยุโรปส่วนใหญ่เชื่อว่า
การกินช็อกโกแลตจะทำให้สุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาว อีกทั้งยังสามารถช่วยลดไข้รักษาอาการอาหารไม่ย่อยและช่วยให้มีลมหายใจที่หอมสดชื่นอีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ก็ควรกินช็อกโกแลตในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อสุขภาพที่ดี
อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/3037.html

ประโยชน์ของขอบขนมปัง

ประโยชน์ของ...ขอบขนมปัง
เคยได้ยินมาว่าส่วนของขนมปังที่มีไฟเบอร์มากที่สุดคือบริเวณขอบขนมปัง ทำให้เกิดความสงสัยว่าขนมปังเวลาอบก็ใช้แป้งอบเป็นก้อนเดียว กันไปเลย แต่เหตุไฉนไฟ เบอร์จึงมีปริมาณสูงแค่บริเวณขอบ
ไม่ใช่ไฟเบอร์ แต่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดร.โทมัส ฮอฟมานน์ นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยมุนสเตอร์ เยอรมนี เป็นผู้พบว่าขอบขนมปังเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระอันอุดมสมบูรณ์มากกว่าส่วนอื่นๆ ของขนมปัง งานวิจัยของเขามาจากการตรวจสอบขอบขนมปัง เนื้อขนมปัง และแป้งธรรมดา พบว่าขอบขนมปังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า โพรนีลไลซีน (pronyl-lysine) มากกว่าในส่วนที่เป็นขนมปังขาว 8 เท่า ขณะที่แป้งธรรมดาไม่มีเลย หมายความว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ว่า จะเกิดขึ้นต่อเมื่อขนมปังผ่านกระบวนการอบมาแล้วเท่านั้น
สารโพรนิลไลซีนเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของกรดอะมิโนแอล-ไลซีน แป้ง และน้ำตาล ในขั้นตอนการอบ เรียกว่าปฏิกิริยาเมลาร์ด (Maliiard reaction) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสีน้ำตาลบนผิวหน้าของขนมปังที่ผ่านการอบแล้ว และกระ บวนการนี้ยังเป็นตัวสร้างสารให้กลิ่น รสชาติให้ขนมปัง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ
งานวิจัยบอกด้วยว่าขนมปังที่มีสีน้ำตาลเข้ม เช่น ขนมปังโฮลวีท มีสารต้าน อนุมูลอิสระมากกว่าขนมปังสีขาว และสารต้านอนุมูลอิสระจะยิ่งเพิ่มจำนวนหากก้อนขนมปังที่เข้าเตาอบมีขนาดเล็ก เพราะชิ้นขนมปังเล็กๆ จะมีพื้นผิวที่มากขึ้นในการเกิดปฏิกิริยาในกระบวนการนี้ หากเทียบกับขนมปังที่เป็นก้อนใหญ่ หรือเป็นปอนด์ แต่ฮอฟมานน์เตือนว่า ถ้าพยายามอบขนมปังให้เป็นสีน้ำตาลจนเกรียมมากไป สารเคมีที่มีประโยชน์ก็จะอันตรธานได้ง่ายๆ เหมือนกัน
ทั้งนี้ วิธีการที่ทำให้ขอบขนมปังมีประโยชน์คือการอบ จากที่กระบวนการอบเป็นการเปลี่ยนสภาพที่ยังดิบให้สุกโดยการใช้ความร้อน ซึ่งทั่วไปแล้วเตาอบ จะมีอุณหภูมิระหว่าง 191-232 องศาเซลเซียส ระยะเวลาในการอบขึ้นอยู่กับขนาดและส่วนผสมของขนมปังแต่ละชนิด ในขณะอบจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทางกายภาพและทางเคมีในโด คือ
ความร้อนจะแผ่กระจายไปยังโด กระตุ้นให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีแรงดัน น้ำกลายเป็นไอและแอลกอฮอล์ขยายตัว ช่วยกันดันโครงร่างของโดให้มี ปริมาตรเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันความร้อนในช่วงแรกของการอบจะกระตุ้นการทำงานของยีสต์และเอนไซม์ให้เกิดกระบวนการหมักเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดก๊าซและแอลกอฮอล์ เสริมขึ้นมา ซึ่งโดยปกติยีสต์จะหยุดการทำงานที่ 43 องศาเซลเซียส และจะตายที่อุณหภูมิ 54 องศาเซลเซียส เมื่อความร้อนเพิ่มขึ้นสตาร์ชจะพองตัวและกลายเป็นเจล ขณะขนมปังสุกนี้ สตาร์ชจะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอะมิโลสจะเคลื่อนย้ายออกจากเม็ดสตาร์ช เมื่อทำให้ขนมปังเย็นและทิ้งไว้นาน อะมิโลสจะเปลี่ยนแปลงกลับ มีลักษณะขุ่นเป็นตะกอนขาวอีกครั้ง
ในระหว่างที่สตาร์ชเกิดเจลนั้นจะดึงน้ำจากโดมาทำให้กลูเตนสูญเสียน้ำ เปลี่ยนสภาพจากเดิมที่เคยยืดหยุ่นกลับแข็งตัวขึ้น ทำให้ได้โครงร่างของเซลล์มีรูพรุน ผนังเซลล์บางเป็นใยเชื่อมติดกัน รูปรีบ้าง กลมบ้าง กระจายอยู่ทั่วไปทั้งก้อนขนมปัง ในขณะเดียวกันเอนไซม์และยีสต์จะค่อยๆ ตายไป เนื่องจากทนความร้อนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้
ส่วนผิวนอกของขนมปังจะเปลี่ยนสีเพราะเกิดคาราเมล เนื่องจากความร้อนทำให้น้ำตาลที่ผิวโดเปลี่ยนสภาพเป็นสีน้ำตาล และการเกิดปฏิกิริยาเมลาร์ด จากน้ำตาลและกรดอะมิโน ให้สารสีน้ำตาลเรียกว่ามิลานอยดิน พร้อมเกิดสารให้กลิ่นรส และสุกในที่สุด โดยเกิดการสูญเสียน้ำหนักของก้อนโด 9-10% เนื่อง จากการระเหยของน้ำและสารอื่นๆ
ขอบคุณ : learners.in.th
http://variety.teenee.com/foodforbrain/42519.html